(ถามโดยครูและบุคคลทั่วไป)
ตอบ : ความขัดแย้งหรือการคิดเห็นที่แตกต่างมีแน่นอน ซึ่งบางครั้งก็ทำให้เด็กเรียนที่จะจัดระยะของตัวเองกับคนอื่น รู้ที่จะปรับบทบาทตนเองในการอยู่ในสังคม เหมือนกรณีล้างถั่วลิสง เราเพียงใส่ตะกร้าเขย่าน้ำ เปลือกถั่วที่กระทบกระทั่งกันจะทำให้เปลือกถั่วขาวสะอาดขึ้นมาเอง บางครั้งการกระทบกระทั่งก็เป็นเรื่องของเด็ก ถ้าผู้ใหญ่เข้าไปเกี่ยวข้องจะกลายเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ทันที และถ้าเกิดกรณีชกต่อยหรือทะเลาะวิวาทกันในโรงเรียน ครูที่นี้จะมีแนวทางในการจัดการหรือปรับพฤติกรรมเป็นแนวทางเดียวกันคือ ไม่ตัดสิน ไม่ชี้ความผิดหรือไม่หาคนผิดคนถูก แต่ครูจะใช้คำถาม
คำถามแรกคือ "เกิดอะไรขึ้นช่วยเล่าให้ครูฟังที่ละคน" แล้วเด็กแต่ละคนก็จะเล่า ถ้ามีใครสักคนที่พูดไม่ตรงก็จะมีอีกคนแย้งขึ้นมา สิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่เด็กเขาเป็นคนบอกเองว่าเขาได้ทำผิดอะไร พอครูรู้สาเหตุแล้ว
คำถามที่สองคือ ในเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้ว ช่วยครูคิดหน่อยว่าจะแก้ปัญหานี้ยังไง ? เด็กก็จะต้องช่วยกันคิดอีก ก็จะได้วิธีการหรือแนวทางในการแก้ปัญหาที่เกิดจากเด็กเอง สิ่งนี้คือสิ่งที่เด็กเป็นคนบอกว่าเขาจะรับผิดชอบอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น
จะเห็นว่าจาก 2 คำถามเด็กจะเป็นคนบอกเองว่าเขาทำผิดอะไร และเป็นคนบอกเองว่าเขาจะรับผิดชอบหรือแก้ไขอย่างไร ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เกิดจากตัวเด็กเอง เขาเป็นคนรู้เอง และคิดแก้ปัญหาเอง ไม่ใช้ครูหรือคนอื่นเป็นคนชี้ความผิดและเป็นคนไปตัดสิ้นความผิดนั้น ถ้าทำเช่นนั้นเด็กจะไม่เกิดความรู้สึกที่จะตระหนักเลย เพราะไม่เกิดจากตัวเขาเองแต่เกิดจากคนอื่นบอก
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ หนังสือโรงเรียนนอกกะลา เขียนโดย วิเชียร ไชยบัง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น